บทที่2


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

             ในการศึกษาค้นคว้าอิสระเรื่อง “เยาวชนรุ่นใหม่รู้รักษ์ภาษาไทย” คณะผู้จัดทำได้รวบรวม แนวคิดต่างๆ จากเอกสารที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้

2.1 พฤติกรรมการใช้ภาษาที่ผิด
      “พฤติกรรม” หมายถึง การแสดงและกิริยาท่าทางซึ่งสิ่งมีชีวิต ระบบหรืออัตลักษณ์ประดิษฐ์ ที่เกิดร่วมกันกับสิ่งแวดล้อมซึ่งรวมระบบอื่นหรือสิ่งมีชีวิตโดยรวมเช่นเดียวกับสิ่งแวดล้อมทากายภาพ พฤติกรรมเป็นการตอบสนองของระบบหรือสิ่งมีชีวิตต่อสิ่งเร้าหรือการรับเข้าทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น ภายในหรือภายนอก มีสติหรือไม่มีสติระลึก ชัดเจนหรือแอบแฝง และโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ                                   “ภาษา”หมายถึง การวางเงื่อนไขในการสื่อสารของกลุ่มหรือสังคมนั้นๆโดยเข้าใจร่วมกันว่า เงื่อนไขหรือรหัสที่กำหนดไว้หมายถึงอะไรซึ่งใช้สื่อสารความคิดความเข้าใจและความรู้สึกของผู้สื่อไป ยังผู้รับโดยอาศัยเงื่อนไขที่กำหนดไว้(ภาษา)เป็นเครื่องสื่อความโดยภาษาต้องประกอบด้วยระบบ 
ความหมายและโครงสร้างเพื่อให้เข้าใจตรงกันผู้อยู่ในกลุ่มหรือสังคมนั้นๆจึงต้องเรียนรู้ภาษาซึ่งกัน 
และกันแต่บางครั้งสิ่งที่เกิดจากสัญชาตญาณก็อาจเป็นภาษาได้โดยความหมายแบ่งออกเป็น2ประเภท               2.1.1 ภาษาในความหมายกว้าง
 ภาษาที่ใช้คำพูด (วัจนภาษา) และภาษาที่ไม่ได้ใช้คำพูดหรือภาษาท่าทาง(อวัจนภาษา) ทั้งนี้ภาษาใน ความหมายนี้อาจนับรวมไปถึงภาษาของสัตว์ด้วยแต่เรื่องภาษาของสัตว์นี้ยังมีข้อมูลไม่มากนักจึงไม ค่อยมีใครนำมากล่าวรวมกับภาษาของมนุษย์ 
          2.1.2 ภาษาในความหมายแคบ 
ภาษาที่ใช้คำพูดจะเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรซึ่งเป็นเครื่องหมายใช้แทนคำพูดก็ได้ดังนั้น 
ความหมายของภาษาที่เขียนเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน ก็คือความหมาย

2.2สาเหตุการใช้ภำษำไทยของวัยรุ่น 
         ปัญหาการใช้ภาษาไทยได้เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานหลายสิบปี แต่ในยุคปัจจุบันนี้ ปัญหายิ่งวิกฤติความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆซึ่งมีปัจจัยหนุนนำที่สำคัญนั่นคือความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยีที่ก้าวล้าไปอย่างรวดเร็ว เราจึงพบการใช้ภาษาไทยแบบผิด ๆ มากมายจนเกือบจะ กลายเป็นความคุ้นชิน โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นยิ่งน่าเป็นห่วงมากที่สุดเป็นกลุ่มที่นิยมใช้ภาษาที่มีวิวัฒนาการทางภาษาที่เฉพาะกลุ่มซึ่งเป็นภาษาที่เกือบจะไม่มีไวยากรณ์ไม่ว่าจะจากการรับส่งข้อความสั้น(SMS) 
การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) การสนทนาออนไลน์ (MSN) หรือแม้แต่ การแสดงความคิดเห็นในโลกอินเทอร์เน็ต 
          2.2.1 สาเหตุจากอินเทอร์เน็ต การใช้ภาษาไทยที่เกิดจากอินเทอร์เน็ตนั้นเริ่มลุกลามมาจากโปรแกรมแช็ทรูมและเกมออนไลน์ ซึ่งดูคล้ายเป็นการสนทนากันธรรมดาแต่การสนทนาอันไม่มีขีดจำกัดของภาษาทำให้เกิดปัญหาขึ้นมากมาย ดังเช่นที่พบตามหน้าหนังสือพิมพ์ในปัจจุบัน และในขณะเดียวกันก็สร้างปัญหาให้แก่วงการ ภาษาไทยด้วย นั่นคือการกร่อนคำ และการสร้างคำใหม่ให้มีความหมายแปลกไปจากเดิม เป็นช่วงวัยที่ มีการสื่อสารกันมากและมีรูปแบบการสื่อสารด้วยคำที่ทันสมัย
มีความหมายเฉพาะสำหรับกลุ่ม และ ช่วงวัย วัยรุ่นจึงขาดความคำนึงถึงความถูกต้องเหมาะสมของภาษาที่ใช้ให้เหมาะสม มีหลายสาเหตุที่ ทำให้วัยรุ่นใช้ภาษาที่ผิดๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมาก ท าให้มีความสะดวกในการ ใช้ชีวิตประจำวัน รวมทั้งการสื่อสาร วัยรุ่นในประเทศไทยยุคใหม่บางกลุ่มได้สร้างค่านิยมที่ผิดๆ มาใช้ คือ การใช้ภาษาไทยที่ผิดจากคำเดิม จึงทำให้ภาษาไทยของเราเปลี่ยนแปลงไป จึงใช้ภาษาไทยไม่ ถูกต้องสื่อมวลชน ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการใช้ภาษาไทยแบบผิดๆของประชาชน            
          2.2.2 สาเหตุการใช้ภาษาไทยของครูและนักเรียน เนื่องจากครู คือ ผู้ประสาทวิชา เป็นผู้ให้ความรู้แก่ศิษย์ ดังนั้นความรู้ในด้านต่างๆ เด็กๆจึงมักจะได้รับ มาจากครูเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ครูบางคนนั้นมีความรู้แต่ไม่แตกฉาน โดยเฉพาะวิชาภาษาไทยเป็น วิชาที่มีความละเอียดอ่อน และมีส่วนประกอบแยกย่อยอย่างละเอียดลออ เมื่อครูไม่เข้าใจภาษาไทยอย่างกระจ่าง  จึงทำให้นักเรียนไม่เข้าใจตามไปด้วย จนพานเกลียดภาษาไทยไปในที่สุด ซึ่งเป็น ปัญหาที่ปรากฏให้เห็นอยู่มากมายในปัจจุบัน

 2.3 รูปแบบการใช้ภาษาไทยของวัยรุ่น 
             การใช้ภาษาเป็นเรื่องของการสื่อสาร ซึ่งผู้ส่งสารจะต้องทำให้ผู้รับสารเข้าใจความหมายของ ตน ให้มากที่สุด แต่การสื่อสารที่มีรูปแบบแตกต่างกันจะทำให้การใช้ภาษามีความแตกต่างกันไปด้วย เช่น การสื่อสารแบบเผชิญหน้าย่อมแตกต่างจากการสื่อสารแบบผ่านเครื่องมือการสื่อสาร หรือการ สื่อสารด้วย สื่อสิ่งพิมพ์ ย่อมมีความแตกต่างการสื่อสารด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีทั้งภาพและเสียง ในปัจจุบันปัญหาที่พบเป็นอย่างมากเกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย คือการใช้ภาษาในทางวิบัติ และมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ภาษาอยู่หลายประเภท เช่น
             2.3.1 รูปแบบการพูด เป็นประเภทของภาษาวิบัติที่ใช้เวลาพูดกัน ซึ่งบางครั้งก็ปรากฏขึ้นใน การเขียนด้วย แต่น้อยกว่ากลุ่มที่ใช้ในเวลาเขียน โดยการพูดมักจะพูดให้มีเสียงสั้นลง หรือยาวขึ้น หรือไม่ออกเสียงควบกล้ำเลย ประเภทนี้เรียกได้อีกอย่างว่ากลุ่มเพี้ยนเสียง
             2.3.2 รูปแบบการเขียน รูปแบบของภาษาวิบัติประเภทนี้ โดยทั้งหมดจะเป็นคำพ้องเสียงที่นำมาใช้ผิดหลักของภาษา คนที่ใช้ภาษาวิบัติเวลาเขียนนั้นจะเขียนตามเสียงอ่าน เพราะไม่ต้องการอยู่ นกรอบหรือ ต้องการทำอะไรที่คิดว่าใหม่ ไม่เลียนแบบของเก่า ได้แก่
                2.3.2.1 การเขียนตามเสียงพูด
                2.3.2.2 การสร้างรูปการเขียนใหม่
                2.3.2.3 รูปแบบของการเปลี่ยนแปลงเสียงอ่าน
                2.3.2.4 กลุ่มที่เปลี่ยนแปลงความหมาย




2.4 การแก้ไขปัญหาการใช้ภาษาไทยวัยรุ่น
การใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารทั่วๆ ไป ควรมีหลักที่ถูกต้องตามลักษณะดังต่อไปนี้
              2.4.1ใช้คำให้ถูกต้องตรงตามความหมาย   กล่าวคือ ก่อนนำคำไปเรียงเข้าประโยค ควรทราบ ความหมายของคำคำนั้นก่อน เช่น คำว่า “ปอก” กับ “ปลอก” สองคำนี้มีความหมายไม่เหมือนกัน คำว่า “ปอก” เป็นคำกริยา แปลว่า เอาเปลือกหรือสิ่งที่ห่อหุ้มออก แต่ค าว่า “ปลอก” เป็นคำนาม แปลว่า สิ่งที่ท าส าหรับสวมหรือรัดของต่างๆ เป็นต้น
              2.4.2  ใช้คำให้เหมาะสม    เลือกใช้คำให้เหมาะสมกับกาลเทศะและเหมาะสมกับบุคคล เช่นโอกาสที่เป็นทางการ โอกาสที่เป็นกันเอง หรือโอกาสที่เป็นภาษาเขียน
              2.4.3 การใช้คำลักษณะนาม  ใช้คำที่บอกลักษณะของนามต่างๆ ให้ถูกต้อง เช่น ปากกา มี ลักษณะนามเป็น ด้าม เลื่อย มีลักษณะนามเป็น ปื้น ฤๅษี มีลักษณะนามเป็น ตน เป็นต้น
              2.4.4 การเรียงลำดับคำ  เป็นเรื่องที่สำคัญมากในภาษาไทย หากเรียงผิดที่ความหมายก็จะ เปลี่ยนไปด้วย ทั้งนี้ เพราะคำบางคำอาจมีความหมายได้หลายความหมายซึ่งขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ จัดเรียงไว้ในประโยค
              2.4.5 แต่งประโยคให้จบกระแสความ   หมายถึงแต่งประโยคให้มีความสมบูรณ์ครบถ้วนทั้ง ส่วนที่เป็นภาคประธานและภาคแสดง ซึ่งประโยคที่จบกระแสความนั้นจะต้องตอบคำถามว่า ใคร ทำ อะไร ได้ชัดเจน สาเหตุที่ทำให้ประโยคไม่จบกระแสความอาจเกิดจากขาดคำบางคำหรือขาด
ส่วนประกอบของประโยคบางส่วน
              2.4.6  ใช้ภาษาให้ชัดเจน  ใช้ภาษาที่ให้ความหมายเพียงความหมายเดียว เป็นความหมายที่ ไม่สามารถจะแปลความเป็นอย่างอื่นได้  เช่น “คุณแม่ไม่ชอบคนใช้ฉัน” อาจแปลได้ ๒ ความหมายคือ คุณแม่ไม่ชอบใครก็ตามที่ใช้ให้ฉันทำโน่นทำนี่ หรือคุณแม่ไม่ชอบคนรับใช้ของฉัน ทั้งนี้เพราะคำว่า “คนใช้” เป็นคำที่มีหลายความหมายนั่นเอง
              2.4.7 ใช้ภาษาให้สละสลวย  ใช้ภาษาอย่างไพเราะราบรื่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น